11.20.2555

ผัดฉ่าไก่


รูปภาพ
ผัดฉ่าไก่


วัตถุดิบและสัดส่วน:
1.ไก่ส่วนปีกและน่อง

2.มะเขือเปราะ

3.กระชาย

4.พริกชี้ฟ้าแดงเขียวเหลือง

4.พริกไทยเม็ด

5.กระเทียม

6.ใบโหระพา
เครื่องปรุง:
1.น้ำปลาดี

2.น้ำตาลปี๊บ

3.น้ำมันหอย

4.ซอสปรุงรส

5.ซีอิ๊วดำนิดหน่อย
ขั้นตอนการปรุง:
1.สับไก่ชิ้นพอดีๆหมักด้วยน้ำมันหอย,น้ำตาล,ซีอิ๊วขาว พักไว้แล้วไปปอกกะเทียมเหลือเปลือกบางๆ

ไว้นิดหน่อย หั่นพริกชี้ฟ้าเหลืองเขียวแดงเพิ่มให้มีสีสัน ตำกะเทียม&พริก ให้พอหยาบ ตั้งกะทะพอไฟ

ร้อนเอาพริกกะเทียมลงผัดให้หอมฉุย ใส่ไก่ที่หมักตามลงไปให้สุกแล้วปรุงรส ชิมตามที่ชอบที่ใช่ใส่

มะเขือ กระชายทิ้งไว้สักครู่ใบโหระพาตามปิดไฟ ยกทานได้เลย

วัตถุดิบขั้นตอนการทำ

วัตถุดิบ                                                    ขั้นตอนการทำ

11.15.2555

ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ


ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ


ส่วนประกอบ

1. น่องไก่ 5 ชิ้น
2. โครงไก่ 500 ก. (สับพอประมาณ)
3. มะระ ½ ลูก
4. รากผักชี 2 ราก
5. ถั่วงอก 500 ก.
6. บะหมี่ 5 ก้อน
7. เห็ดหอมแช่น้ำ 5 ดอก
8. กระเทียมกลีบใหญ่ 8 กลีบ
9. พริกไทยดำเม็ด 1 ชต.
10. เกลือ 1 ชต. (เอาไว้ล้างมะระ)
11. เกลือ 1 ชช.
12. น้ำตาลทราย 2 ชต.
13. น้ำมันหอย 2 ชต.
14. น้ำปลา 2 ชต.
15. ซอสถั่วเหลือง 2 ชต.
16. ซีอิ๊วดำ 2 ชต.
17. น้ำเปล่า 2 ลิตร

ขั้นตอนและวิธีทำ
เกลือให้ทั่วชิ้นมะระทิ้งไว้ 10 นาที ค่อยนำไปล้างน้ำทิ้งจะช่วยลดความขมของมะระได้
2. ทุบรากผักชี กระเทียม พอแตก ตามด้วยสับพริกไทยดำพอหยาบ หั่นก้านเห็ดหอมทิ้ง และบั้งเป็นรูปดอกไม้ให้สวยงาม
3. ต้มน้ำให้เดือด เติมน่องไก่ โครงไก่ รากผักชี กระเทียมลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงทั้งหมด ปิดฝาต้มทิ้งไว้ 30 นาที
4. เมื่อครบ 30 นาทีแล้ว ค่อยเติมมะระ เห็ดหอม น้ำแช่เห็ดหอม ตุ๋นอีก 30 นาที
5. ต้มน้ำให้เดือด นำถั่วงอก บะหมี่ลงลวกตักใส่ชาม ราดด้วยน้ำซุป ตามด้วยน่องไก่ โรยกระเทียมเจียว เป็นอันเสร็จ พร้อมเสิร์ฟ

11.14.2555

กระเจี๊ยบ



น้ำกระเจี๊ยบสด



  

กระเจี๊ยบแดง หรือ Roselle อุดมไปด้วย วิตามิน เอ ซี กรดซิตริก มีสรรพคุณ เป็นยาช่วยขับปัสาวะ ลดความดันโลหิต แก้กระหาย ขับเสมหะ


สูตรน้ำกระเจี๊ยบสด

กระเจี๊ยบสด 150 กรัม

นำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง

น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง

เกลือป่น 1/2 ช้อนชา


วิธีการทำ

1. ล้างทำความสะอาดกระเจี๊ยบ แกะเอาเฉพาะกลีบเลี้ยง

2. ตั้งหม้อใส่น้ำลงต้ม ใช้ไฟปานกลางจนเดือดใส่กลีบกระเจี๊ยบลงไปต้มประมาณ 30 นาที

3. กรองเอากลีบกระเจี๊ยบออกให้หมด ตั้งหม้อต่อ ใส่น้ำตาล เกลือ คนให้ละลาย ปิดไฟยกลง รอให้เย็น

4. รินใส่แก้วเติมน้ำแข็งดื่มชื่นใจ

ป้ายกำกับ: 

ว่านหางจระเข้




ว่านหางจระเข้

 สรรพคุณว่านหางจระเข้ ประโยชน์ว่านหางจระเข้ 


“ว่านหางจระเข้” มหัศจรรย์สมุนไพรไทย

          กระแสความงามที่หนุ่มสาวสมัยใหม่ในสังคมต่างเรียกร้องโหยหาความงามของตนเอง ภายใต้ หน้ากากที่ห่อหุ้มจากมลภาวะในสังคม จุดนี้เองจึงเกิดกระแสสร้างความงามด้วยเคมีขึ้น


          แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าทางด้านราคาและความปลอดภัยทางเคมีแล้ว กลับมีผลเสียมากกว่าผลดีที่ได้ จึงทำให้หลายฝ่ายต่างหวนหาและย้อนกลับมาใช้ความคุ้มค่าจากสมุนไพร



          ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของสมุนไพรอย่าง “ว่านหางจระเข้” จาก ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ยาทาบาดแผล เพื่อใช้ในการรักษาแผลไฟไหม้หรือรอยขีดข่วน เมื่อตัดว่านหางจระเข้จะมีเมือกเหนียวๆ ซึ่งมีคุณสมบัติโปร่งแสง โดยนำว่านหางจระเข้ปิดไว้ที่บาดแผลจะป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าไป และไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค มีส่วนช่วยบำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ดีอีกด้วย

          ด้วยเหตุนี้คลินิกเพื่อความสวยความงามหลายๆ แห่งได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้สมุนไพรอย่าง “ว่านหางจระเข้” จึง คิดค้นเวชสำอางหลายชนิดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เพราะว่านหางจระเข้นอกจากจะมีคุณค่าด้านการรักษาโรคแล้ว ยังสามารถใช้บำรุงผิวและเส้นผมได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่าเวชสำอางหลายชนิดในท้องตลาดที่ใช้สมุนไพรและว่านหางจระเข้เป็น ส่วนประกอบนั้นกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป




          เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึมทำงาน ได้เป็น ปรกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้นว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวพรรณ

          ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำจะรู้สึกได้ว่าว่านหาง จระเข้ มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว ใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิวจะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย โดยส่วนที่นำมาใช้มี 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1.ยางจากใบ โดยการทำให้แห้งเป็นก้อน เรียกว่า ยาดำ นำมาใช้เป็นยาระบาย ส่วนที่ 2.ส่วนที่เป็นวุ้น




          นอกจากนี้เอกสารทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ โรมัน กรีก แอลจีเรีย ตูนีเซีย อาหรับ อินเดีย และจีน ก็มีการรายงานใช้พืชนี้เป็นทั้งเครื่องสำอางและยาด้วยเช่นกัน ทั้งในการรักษาแผลไฟลวก รักษาแผลทั่วไป และระงับความเจ็บปวด รวมทั้งรักษาโรคเรื้อนกวาง โรคนอนไม่หลับ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปรกติ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร อาการคันที่ผิวหนัง ปวดหัว ผมร่วง โรคเหงือกและฟัน โรคไต ผิวหนังพอง ผิวถูกแดดเผา ผิวด่างดำ แผลมีดบาด ผื่นคัน สิว ผิวหนังเป็นด่างดำ ช่วยบำรุงผิวหนังในกรณีของโรคเรื้อน

          ทราบไหมค่ะว่า แม้แต่พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉมยังทรงรักษาความงามและความมีเสน่ห์ของพระองค์ด้วยวุ้นของว่านหางจระเข้ด้วยเช่นกัน


ที่มา : เว็บไซต์ scimath

11.04.2555


อาหารควบคุมคลอเรสเตอรอล

     คลอเรสเตอรอล เป็นสารที่นุ่มและมันพบได้ในทุกๆ เซลล์ของร่างกาย ร่างกายของเราจำเป็นต้องมีคลอเรสเตอรอลในการทำงานให้สมบูรณ์ เพราะว่ามันคือสารที่ช่วยผนึกเซลล์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนั้น ร่างกายของเรายังต้องมีคลอเรสเตอรอลไว้สร้างฮอร์โมน วิตามินดี และสารต่างๆ ที่จำเป็นต่อการย่อยอาหาร


ร่างกายจำเป็นต้องมีคลอเรสเตอรอลเพื่อการทำงานที่สมบูรณ์ก็จริง อย่างไรก็ตาม   คลอเรสเตอรอลก็สามารถสร้างปัญหาได้เช่นกัน มันสามารถก่อให้เกิดอาการไขมันจับตัวกันบนผนังเส้นเลือด ซึ่งผลที่จะตามมาก็คือ โรคหัวใจ แน่นหน้าอกหรือ ชัก แม้ว่าต้นเหตุของการมีคลอเรสเตอรอลสูงส่วนใหญ่ยังคงเป็นปริศนา แต่ก็มีหลายปัจจัยที่เราทราบคือ อาหาร น้ำหนัก พันธุกรรม
วิธีรักษาผู้ที่มีอาการคลอเรสเตอรอลสูงคือ ต้องลดปริมาณโปรตีนไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำ หรือ LDL ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ หรือหัวใจวาย วิธีลดปริมาณคลอเรสเตอรอล สามารถเริ่มได้จากการเปลี่ยนการใช้ชีวิต เช่น ลดน้ำหนักหรือเปลี่ยนอาหารที่ทาน
อาหารที่ดีต่อสุขภาพต้องมีสารอาหารครบถ้วนเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของร่างกายได้ อาหารต้องให้พลังงานที่พอเหมาะและมีวัตถุดิบที่จะช่วยดูแลสุขภาพของเราได้ อาหารยังต้องมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้เรารู้สึกอ่อนวัยและดูดีด้วย หลังจากที่พอทราบกันแล้วว่าทำไมร่างกายต้องได้รับสารอาหารที่ดี สิ่งต่อมาก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
อาหารที่ดีเพื่อร่างกายที่ดี : โดยธรรมชาติแล้ว อาหารคือพลังงานที่จะช่วยให้แข็งแรง ผลไม้สด แอปเปิ้ล หรือลูกเบอร์รี่ต่างๆ ยังดีต่อพวกที่ชอบของหวานอีกด้วย ผักใบเขียว เหลือง ส้ม ก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ผักนึ่งก็ยังมีสารอาหารครบถ้วนเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ อยู่ให้ห่างของที่เต็มไปด้วยไขมัน อาหารที่มีแคลลอรี่สูง คือ อาหารที่แย่ต่อชีวิตที่มีสุขภาพดี
ปลา ไก่ เนื้อวัว: การที่จะมีร่างกายที่แข็งแรงได้นั้น เราควรทานอาหารทะเล 2-3ครั้งต่อสัปดาห์เพราะว่าปลาทะเลมีกรดไขมันจำเป็นสำหรับร่างกายถ้าเป็นไก่ควรทานไก่อบแทนที่ไก่ทอดเนื้อวัวก็เช่นกันควรเลี่ยงเนื้อวัวติดมันเบคอนและเนื้อที่ผ่านกรรมวิธีต่างๆเช่นไส้กรอกฮอทดอกนั้นเต็มไปด้วยขยะที่จะช่วยเพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ
1.อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมัน โอเมก้า 3 สามารถพบได้ในน้ำมันถั่ว ผัก และเมล็ดธัญพืชต่างๆ รวมทั้งปลาน้ำตื้นเช่น แมคเคอเรล ทูน่าและแซลม่อน แล้วปัญหาของไขมันอุดตันเส้นเลือดก็จะลดลงได้ด้วย โอเมก้า 3 ซึ่งดีต่อหัวใจ และมันจะช่วยลดปริมาณไขมันที่ไม่ดีไปในตัว
2.ไวน์แดงสามารถไปช่วยในการทำงานของหัวใจได้เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นส่งผลให้มีปริมาณโปรตีนไขมันที่มีความหนาแน่นสูง หรือ HDL การดื่มไวน์แดงบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลที่ดีในร่างกายได้
3. ดาร์คช็อคโกแลต  การทานช็อคโกแลตเป็นอะไรที่ห้ามใจได้ยาก และการทานในปริมาณที่พอเหมาะก็เป็นผลดีอีกด้วย ปริมาณที่แนะนำก็คือ ดาร์คช็อคโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้ 70%
4. ชาเขียวเพื่อสุขภาพ  การดื่มชาเขียวบ่อยๆ จะช่วยกักคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ออกจากร่างกาย แต่ควรเลี่ยงชาเขียวบรรจุขวดเพราะอาจมีปริมาณน้ำตาลมากเกินไป
5. อาหารที่มีปริมาณใยอาหารละลายน้ำสูง การลดคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี ก็จะไปเพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลที่ดีได้ มันสามารถเกิดขึ้นได้จากการทานอาหารที่เป็นพืชผัก ผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารปริมาณมาก
6. ไขมันอิ่มตัว น้ำมันคาโนล่าและน้ำมันมะกอกเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดี และควรเป็นอาหารจำเป็นในทุกๆ วัน มันสามารถเพิ่มตัวได้ง่ายและเพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลที่ดีได้อีกด้วย
7. ผลไม้แห้ง ผลไม้แห้งมีความอิ่มตัวที่ดีต่อหัวใจ อัลมอนด์ ถั่วลิสง ถั่ววอลนัท ก็เป็นตัวอย่างที่ดี การเลือกทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อปริมาณคลอเรสเตอรอลที่ดีกว่าการรอทานยาเพื่อแก้ปัญหา

สมุนไพรผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"

ช่วงนี้ใครรู้สึกว่าขาดเลือดอยู่ละก็วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีผลไม้บำรุงเลือดบำรุงสุขภาพ มาฝากกันอีกด้วย ผลไม้นอกจากจะจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและมีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองแล้ว ในผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตตามินอีกหลายชนิดที่เรายังไม่รู้ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณๆ มารู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด ซึ่ง ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้จะมีคุณประโยชน์อย่างไรกันและมีผลไม้ชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็ไม่พลาดที่จะนำ ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้มาบอกให้คุณๆ ผู้รักสุขภาพและชอบทานผลไม้กันให้รู้อย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ กันเลยดีกว่าค่ะ

ผลไม้บำรุงเลือด


5 ผลไม้บำรุงเลือด

1. ทับทิม

ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2. แก้วมังกร

อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตและมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3. สตรอว์เบอร์รี่

ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รีช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่า อาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4. กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5. แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวันซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลสมุนไพรไทยจาก สุขกายสบายใจ ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

สมุนไพรไทย


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก gpo.or.th , สสส. , กรมวิชาการเกษตร , โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

          กับอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บคอ ไอ น้ำร้อนลวก มดกัด ยุงกัด ท้องเสีย ท้องอืด ฯลฯ หลายคนมักจะเลือกใช้ยาแผนปัจจุบัน โดยคิดว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วทันใจดี แต่ลองชะเง้อมองซิว่า รอบ ๆ บ้านมีพืชสมุนไพรไทยอะไรปลูกอยู่หรือเปล่า เพราะพืชสมุนไพรเหล่านี้สามารถนำมาใช้รักษาอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ได้ผลชะงัดนักแล แถมบางชนิดยังสามารถรักษาโรคยอดฮิต อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็งได้ด้วย

          วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็เลยขอหยิบสมุนไพรไทย 20 ชนิด ที่คนรู้จักดี มาบอกเล่าเก้าสิบถึงสรรพคุณของมันให้ฟังกันอีกครั้ง



ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้

 ว่านหางจระเข้

          ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์ 

          โดย "วุ้นในใบสด" สามารถนำมาบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คือ นำมาพอกแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แก้ปวดแสบปวดร้อน แผลเรื้อรัง รักษาผิวที่ถูกแดดเผา แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยถอนพิษได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานแผล แต่มีข้อแนะนำว่า ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวุ้นทาบริเวณท้องแขนด้านใน ถ้าผิวไม่คันหรือแดงก็ใช้ได้ นอกจากส่วนวุ้นในใบสดแล้ว ส่วน "ยางในใบ" ก็สามารถนำมาทำเป็นยาระบายได้ และส่วน "เหง้า" ก็นำไปต้มน้ำรับประทาน แก้โรคหนองในได้ด้วย 


ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน

 ขมิ้นชัน

          เรียกกันทั่วไปว่า "ขมิ้น" เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม คนนิยมนำ"เหง้า" ทั้งสดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย

          นอกจากนั้น "ขมิ้นชัน" ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ"คูเคอร์มิน" ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ "ขมิ้นชัน" ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย

ทองพันชั่ง

ทองพันชั่ง

 ทองพันชั่ง

          เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ "ทองพันชั่ง" หลายพื้นที่อาจเรียกว่า "ทองคันชั่ง" หรือ "หญ้ามันไก่" เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย

          นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า "ทองพันชั่ง" มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน


กะเพรา

กะเพรา

 กะเพรา

          แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย

          และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก

กระชายดำ

กระชายดำ

 กระชายดำ

          สมุนไพรแสนมหัศจรรย์ของท่านชาย (อิอิ) เพราะสรรพคุณของกระชายดำที่ได้รับการกล่าวขานกันมากก็คือ สรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศ หรือแก้โรคกามตายด้าน เนื่องจากฤทธิ์ของกระชายดำจะไปบำรุงกำลัง เพิ่มฮอร์โมนให้หนุ่ม ๆ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น 

          แต่ใช่ว่า กระชายดำ จะมีประโยชน์แค่เรื่องเพิ่มพลังทางเพศเท่านั้นนะ เพราะกระชายดำยังสรรพคุณมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหาร และบำรุงธาตุ แก้หัวใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียนแน่นหน้าอก แผลในปาก ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะ ฯลฯ และด้วยสรรพคุณอันแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ กระชายดำ เลยถูกขนานนามว่าเป็น "โสมไทย" ซึ่งนิยมปลูกมากจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเลยทีเดียว

ว่านชักมดลูก

ว่านชักมดลูก

 ว่านชักมดลูก

          มาที่พืชสมุนไพรสำหรับสาว ๆ กันบ้าง แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เหมาะกับคุณสุภาพสตรีเป็นที่สุด เพราะเหง้าของว่านชักมดลูกมีสรรพคุณช่วยขับประจำเดือนในสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ว่านชักมดลูกก็จะช่วยบีบมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ขับน้ำคาวปลา และรักษาโรคมดลูกพิการปวดบวมได้ 

          นอกจากนั้น ว่านชักมดลูก ยังแก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ขณะที่รากของว่านชักมดลูกสามารถใช้แก้ท้องอืดเฟ้อได้อีกต่างหาก 


กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง

 กระเจี๊ยบแดง

          หลายคนนำใบและยอดของกระเจี๊ยบแดงไปใส่ในแกง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหารแล้ว ใบกระเจี๊ยบแดงยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนดอกใช้แก้โรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด 

          แต่ส่วนที่มีสรรพคุณมากเป็นพิเศษก็คือ ส่วนกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล สามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต นำไปทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนียวข้นของเลือด ขับปัสสาวะ ป้องกันต่อมลูกหมากโตให้คุณผู้ชายได้ด้วย และมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากรับประทานกระเจี๊ยบแดงต่อเนื่อง 1 เดือน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย


มะขามป้อม

มะขามป้อม

 มะขามป้อม

          เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลางที่จัดเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณเพียบในแทบทุกส่วนของต้น แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ ผลของมะขามป้อมจะมีรสเปรี้ยวมาก ๆ แต่ก็ชุ่มคอ และให้วิตามินซีสูงมากเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคนนำผลมะขามป้อมสดมาใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน 

          นอกจากนั้นแล้ว ส่วน "ราก" ยังแก้พิษตะขาบกัด แก้ร้อนใน ลดความดันโลหิต แก้โรคเรื้อน ส่วนเปลือก แก้โรคบิด และฟกช้ำ ส่วนปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก แก้ปวดฟัน "ผลแห้ง" ใช้รักษาอาการท้องเสียง หนองใน เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด และส่วน "เมล็ด" ก็สามารถนำไปเผาไฟผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน แก้หืด หรือจะตำเมล็ดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบก็ได้


ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร

 ฟ้าทะลายโจร 

          ฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ร้อนใน เพราะมีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หากรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย นอกจากเรื่องหวัดแล้ว ฟ้าทะลายโจรยังระงับอาการอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการท้องเสีย ลำไส้อักเสบ รักษาโรคตับ เบาหวาน โรคงูสวัด ริดสีดวงทวาร และรสขมของฟ้าทะลายโจรยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย

          ข้อควรระวัง ก็คือ คนที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A , ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูห์มาติค , มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย, เป็นความดันต่ำ และสตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร  และหากใครทานแล้วเกิดปวดท้อง ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรงได้


ย่านาง

ย่านาง

 ย่านาง

          ย่านางเป็นสมุนไพรรสจืด เป็นยาเย็น มีฤทธิ์ดับพิษร้อน คนจึงนำใบย่านางไปคั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ เพื่อเพิ่มความสดชื่น ปรับอุณหภูมิในร่างกาย และยังนำใบย่านางไปช่วยดับพิษไข้ ดับพิษของอาหาร แก้อาการผิดสำแดง แก้พิษเมา แก้เลือดตก แก้กำเดา ลดความร้อนได้ด้วย นอกจากใบแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของย่านางก็มีประโยชน์เช่นกัน ทั้ง "ราก" ที่ใช้แก้ไข้พิษ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ ไข้ทับระดู"เถาย่านาง" ใช้แก้ไข ลดความร้อนในร่างกาย 

          ขณะที่ข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุว่า ย่านาง ยังช่วยต้านมาลาเรีย ยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ ต้านฮีสตามีน ส่วนข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ย่านางมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย แถมยังอุดมไปด้วยเส้นในอาหาร แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส ย่านางจึงเป็นหนึ่งในจำนวนผักพื้นบ้านที่นักวิจัยแนะนำให้นำมาใช้ในรูปแบบอาหารเพื่อรักษาโรคมะเร็ง 


มะรุม

มะรุม

 มะรุม

          พืชสมุนไพรสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารรับประทานแล้วได้รับสารอาหารอย่างวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม ใยอาหาร แล้ว มะรุม ยังเป็นยาวิเศษรักษาที่ทุกส่วนสามารถใช้รักษาได้สารพัดโรค 

          เริ่มจาก "ราก" ที่จะช่วยบำรุงไฟธาตุ แก้อาการบวม "เปลือก" ใช้ประคบแก้โรคปวดหลัง ปวดข้อ รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ "กระพี้" ใช้แก้ไขสันนิบาด "ใบ" มีแคลเซียม วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ "ดอก" ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย "ฝัก" ใช้แก้ไข้หัวลม"เมล็ด" นำมาสกัดเป็นน้ำมันใช้รักษาโรคปวดข้อ โรคเกาท์ รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา และ "เนื้อในเมล็ดมะรุม" ใช้แก้ไอได้ดี รวมทั้งยังเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ด้วย หากรับประทานเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทานมะรุม


ชุมเห็ดเทศ

ชุมเห็ดเทศ

 ชุมเห็ดเทศ

          ไม้พุ่มขนาดกลาง มีดอกสีเหลือง จัดเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาก โดยชุมเห็ดเทศทั้งต้น มีฤทธิ์ขับพยาธิในลำไส้ รักษาซาง โรคผิวหนัง ถ่ายเสมหะ รักษาอาการฟกช้ำบวม รักษาริดสีดวง ดีซ่าน และฝี ส่วนลำต้น จะใช้เป็นยารักษาคุดทะราด กลากเกลื้อน ช่วยขับพยาธิ ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องผูก

          นอกจากต้นแล้ว ใบชุมเห็ดเทศก็ได้รับความนิยมในคนที่มีอาการท้องผูกเช่นกัน เพราะสามารถนำใบซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ไปต้มน้ำกินได้ หรือจะใช้อมบ้วนปากก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากโดยเฉพาะโปตัสเซียม รวมทั้งอาจทำให้ดื้อยาได้ด้วย


บอระเพ็ด
บอระเพ็ด

 บอระเพ็ด

          เมื่อเอ่ยชื่อ "บอระเพ็ด" หลายคนคงรู้สึก "ขม" ขึ้นมาทันที แต่เพราะความที่เจ้าบอระเพ็ดมีรสขมนี่ล่ะ ถึงทำให้ตัวมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย ดังสำนวนที่ว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" 

          อย่างเช่น "ราก" สามารถนำไปดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น ช่วยให้เจริญอาหาร "ต้น" ก็ช่วยแก้ไข้ได้เช่นกัน และยังช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้สะอึก แก้เลือดพิการ ส่วน "ใบ"นอกจากจะช่วยแก้ไข้ได้เหมือนส่วนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยแก้โลหิตคั่งในสมอง ขับพยาธิ แก้ปวดฝี ช่วยลดความร้อน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย 

          มาถึง "ดอก" ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู "ผล" ใช้แก้เสมหะเป็นพิษ แก้สะอึกได้ดี แต่ถ้านำทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล มารวมกัน "บอระเพ็ด" จะกลายเป็นยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว เพราะแก้อาการได้สารพัดโรค รวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร ฝีในมดลูก เบาหวาน ฯลฯ


เสลดพังพอนตัวเมีย

เสลดพังพอนตัวเมีย

เสลดพังพอนตัวผู้

เสลดพังพอนตัวผู้

 เสลดพังพอน

          "เสลดพังพอน" มี 2 ชนิด คือ "เสลดพังพอนตัวผู้" และ "เสลดพังพอนตัวเมีย" ซึ่งทั้งสองชนิดมีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้ถอนพิษ แต่ "เสลดพังพอนตัวผู้" จะมีฤทธิ์อ่อนกว่า และส่วนใบจะมีรสขมกว่า

          ลองไปดูสรรพคุณของ "เสลดพังพอนตัวผู้" กันก่อน "ราก" ช่วยแก้ตาเหลือง ตัวเหลือง กินข้าวไม่ได้ ถอนพิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดฟัน ส่วน "ใบ" ก็ช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย และยังแก้ปวดแผล แผลจากของมีคมบาด แก้โรคฝี โรคคางทูม ไฟลามทุ่ง งูสวัด เริม ฝีดาษ แก้ฟกช้ำ น้ำร้อนลวก ยุงกัด แก้ปวดฟัน เหงือกบวม

          ส่วน "เสลดพังพอนตัวเมีย" จะนำรากมาปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้ปวดเมื่อยที่เอว ส่วน "ใบ" ซึ่งมีรสจืดจะนำมาสกัดทำเป็นยาใช้รักษาแผลผิวหนังชนิดเริม แผลร้อนในในปาก แผลน้ำร้อนลวกได้ นอกจากนั้น ส่วนทั้ง 5 คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล สามารถใช้ถอนพิษต่าง ๆ ได้ดี ทั้งพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ตะขาบ แมลงป่อง รักษาอาการอักเสบ งูสวัด ลมพิษ แผลน้ำร้อนลวก


มะแว้ง

มะแว้ง

 มะแว้ง

          มีทั้ง "มะแว้งต้น" และ "มะแว้งเครือ" ที่มีสรรพคุณเด่น ๆ คือ ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ เราจึงมักเห็นมะแว้งถูกนำมาผสมเป็นยาอมช่วยแก้ไอ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไอแล้ว สามารถใช้ได้ทั้ง ราก ใบ ผล นอกจากนั้น ยังช่วยลดน้ำลายเหนียว บำรุงธาตุ รักษาวัณโรค แก้คอแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคทางไตและกระเพาะปัสสาวะ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้โรคหอบหืดได้ด้วย

          นอกจากนั้น ลูกมะแว้งเครือสามารถนำไปปรุงอาหาร ทานเป็นผักได้ ส่วนลูกมะแว้งต้นก็ใช้ปรุงอาหารได้เช่นกัน แต่คนนิยมน้อยกว่าลูกมะแว้งเครือ 


รางจืด , ว่านรางจืด

รางจืด

 รางจืด

          เมื่อพูดถึงสมุนไพรถอนพิษ หลายคนนึกถึง "รางจืด" หรือ "ว่านรางจืด" ทันที เพราะส่วนใบและรากของรางจืดสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษยาฆ่าแมลงได้ มีประโยชน์ในเวลาที่หากใครเกิดเผลอทานยาฆ่าแมลง ยาพิษ หรือยาเบื่อเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และอยู่ไกลโรงพยาบาล การทานรากรางจืดก็จะช่วยบรรเทาพิษในเบื้องต้นได้ 

          นอกจากนั้นแล้ว รางจืด ยังสามารถปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ พิษแอลกอฮอล์ พิษสำแดง บรรเทาอาการเมาค้าง บรรเทาอาการผื่นแพ้ เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำได้ แล้วรู้ไหมว่า ยังมีงานวิจัยจากกลุ่มหมอพื้นบ้านพบว่า การนำรางจืดไปต้มแล้วนำมาอาบจะช่วยทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง และหากนำรากรางจืดมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำไปทาหน้า จะทำให้หน้าขาว ไม่มีสิวฝ้าอีกด้วย อุ้ย...สาว ๆ ยิ้มเลยทีนี้


กระวาน

กระวาน

 กระวาน

          เป็นสมุนไพรไทยที่มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ มักพบขึ้นอยู่ตามป่าที่มีความชื้นสูง เช่น ป่าแถบเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งแถบจังหวัดตราด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสรรพคุณหลัก ๆ คือ ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผสมในยาถ่ายเป็นใช้ช่วยถ่ายท้องได้ 

          นอกจากนั้น "ราก" ยังช่วยฟอกโลหิต แก้ลม รักษาโรครำมะนาด "เมล็ด" ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ "เหง้าอ่อน" ใช้รับประทานเป็นผัก "หัวและหน่อ" ช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกทางผิวหนัง"แก่น" ใช้ขับพิษร้าน รักษาโรคโลหิตเป็นพิษ "กระพี้" รักษาโรคผิวหนัง บำรุงโลหิต ส่วน "ใบ" ใช้แก้ลมสันนิบาต ขับเสมหะ แก้ไข้เซื่องซึม แก้จุกเสียด บำรุงกำลัง "ผลแก่" มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร มีฤทธิ์ขับลม ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

กานพลู

กานพลู

 กานพลู

          ใครที่ปวดฟัน นี่คือสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี โดยตามตำรับยา ให้นำดอกที่ตูมไปแช่เหล้าขาว แล้วเอาสำลีไปชุบน้ำมาอุดรูฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้ เพราะน้ำมันหอมระเหยในกานพลูมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ หรือจะเคี้ยวทั้งดอกแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้ นอกจากนั้น ยังนำไปผสมน้ำเป็นน้ำยาบ้วนปาก ช่วยลดกลิ่นปาก แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาดได้

          กานพลูยังมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดท้อง กานพลู ก็ช่วยลดอาการปวดท้อง ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดจากการย่อยอาหารได้ เพราะจะไปช่วยขับน้ำดีมาย่อยไขมันได้มากขึ้น แถมยังกระตุ้นการหลั่งเมือก และลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารได้ด้วย


หญ้าหนวดแมว

หญ้าหนวดแมว

 หญ้าหนวดแมว

          ไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีสรรพคุณไม่น้อย โดย "ราก" สามารถใช้ขับปัสสาวะได้ "ใบ" ใช้รักษาโรคไต ช่วยขับกรดยูริกออกจากไต รักษาโรคเบาหวาน อาการปวดหลัง ไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต "ต้น" ก็ใช้แก้โรคไต ขับปัสสาวะได้เช่นกัน และยังช่วยรักษาโรคนิ่ว โรคเยื่อจมูกอักเสบได้ โดยนำต้นสด หรือต้นแห้ง หรือใบอ่อน หรือใบตากแห้ง ไปชงกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ห้ามนำไปต้ม และไม่ควรใช้ใบแก่ หรือใบสด เพราะมีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้ใจสั่นและคลื่นไส้ได้

          ข้อควรระวังก็คือ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไต ห้ามรับประทาน เพราะในหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูงมาก และไม่ควรรับประทานหญ้าหนวดแมวร่วมกับแอสไพริน เพราะจะยิ่งทำให้ยาจำพวกแอสไพรินไปจับกล้มเนื้อหัวใจมากขึ้น


บัวบก


 บัวบก

          หลายคนอาจเคยดื่มน้ำใบบัวบก ที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วช่วยแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ลดการกระหายน้ำได้ดีนักแล ซึ่งนอกจากใบบัวบกจะนำมาคั้นน้ำดื่มได้แล้ว ยังสามารถนำไปทาแผล ช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำของแผลได้ด้วย เพราะในใบมีกรดมาดีคาสสิค (madecassic acid) และกรดเอเซียติก (asiatic acid) ที่มีฤทธิ์สมานแผน ไม่ว่าจะเป็นแผลสด แผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลหลังผ่าตัด ใบบัวบกจะช่วยการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น 

          นอกจากนั้น ใบบัวบกยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อเป็นหนองในได้  วิธีการใช้ก็ง่าย ๆ นำใบบัวบกสดทั้งต้น 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด เอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อย ๆ ใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น 

          ส่วนต้นของใบบัวบก ก็มีสรรพคุณทางยามากมายไม่แพ้ใบ โดยสามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า แก้พิษงูกัด แก้ปวดศีรษะข้างเดียว ช่วยขับปัสสาวะ แก้เจ็บคอ ใช้เป็นยาห้ามเลือด ส่าแผลสด แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน แก้ช้ำในได้เช่นกัน และถ้าใครชอบทำอาหาร อย่าลืมใส่ใบบัวบกลงผสมลงไปในเมนูของคุณด้วย เพราะในใบบัวบกมีสารอาหารเพียบ โดยเฉพาะวิตามินเอที่มีสูงมาก และยังให้คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามิน และไนอาซีน เรียกว่า คุณค่าครบเลยล่ะ

          จะเห็นได้ว่าสมุนไพรใกล้ตัวมากมายเหล่านี้มีประโยชน์อย่างที่นึกไม่ถึงมาก่อน แต่คำนึงไว้ด้วยว่า สมุนไพรจะรักษาโรคได้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการใช้สมุนไพรตามตำรับยาด้วย และที่สำคัญ คือสมุนไพรบางชนิดก็ไม่เหมาะกับคนที่ป่วยด้วยโรคบางประเภท หรือสตรีมีครรภ์ ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูล และข้อควรระวังทุกครั้งก่อนจะใช้สมุนไพรจะดีที่สุดค่ะ